วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เทคนิคการลดความอ้วนแบบไม่ทำร้ายผิว



                                             
เทคนิคการลดความอ้วนแบบไม่ทำร้ายผิว (Men's Health)
เรื่อง นพ.ประยูร เจนตระกูลโรจน์

          การลดน้ำหนักที่ถูกต้องใช่ว่าจะอาศัยแค่การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวนะครับ หากยังต้องพึ่งพาการควบคุมอาหารอีกด้วย อาหารที่ควรทานในระหว่างการลดน้ำหนักนอกจากจะต้องมีครบทุกหมู่แล้ว ยังต้องมีแคลอรีต่ำ เส้นใยสูงและอุดมไปด้วยวิตามินเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งนี้เพื่อให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตแข็งแรง มีผิวพรรณสดใส ไม่แห้งกร้านเหมือนคนอดอาหารครับ
 ความอ้วนทำให้ผิวเปลี่ยนแปลง

          เคยสังเกตไหมครับว่า ผิวหนังของคนที่เคยอ้วนหรือคนที่ลดความอ้วนอย่างรวดเร็วมักจะไม่กระชับ สาเหตุเป็นเพราะความอ้วนและไขมันที่พอกพูน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชั้นผิวหนัง โดยผิวหนังของเราแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่

          1. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นผิวชั้นนอก ซึ่งแบ่งออกเป็นชั้นย่อย ๆ อีกหลายชั้น โดยมีเซลล์เรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ชั้นนอกสุดของหนังกำพร้า จะช่วยป้องกันผิวหนังกับสภาพภายนอก ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) จะมีค่าค่อนไปทางกรด คือประมาณ 5.0 เพื่อปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค เมื่อเลื่อนตัวออกไปจนสุดก็หลุดออกเป็นขี้ไคล

          2. ชั้นหนังแท้ (Dermis) เป็นผิวหนังที่อยู่ชั้นล่าง ถัดจากหนังกำพร้า และหนากว่าหนังกำพร้ามาก ผิวหนังชั้นนี้ประกอบไปด้วยคอลลาเจน (Collagen) และอิลาสติน (Elastin) ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และความกระชับให้แก่ผิว

          3. ชั้นไขมัน (Subcutaneous Tissue) เป็นชั้นรองรับผิวหนังที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบอยู่ เมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เซลล์ในชั้นไขมันก็จะขยาย ยืดตัวออก ทำให้อิลาสตินในชั้นหนังแท้ต้องขยายตาม หากอ้วนเป็นเวลานาน ๆ เส้นใยอิลาสตินจะกลายเป็นยืดตัวถาวร นอกจากนี้คอลลาเจนที่ผิวชั้นหนังแท้ก็จะเรียงตัวผิดปกติ ทำให้เกิดรอยแตกลาย ดังนั้นคนที่มีรูปร่างอ้วนจึงมีผิวหนังที่ไม่กระชับ และมีผิวแตกลายไงครับ

          การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วอาจทำให้ผิวที่เคยขยายตัว หดตัวอย่างรวดเร็ว ผิวจึงหย่อนคล้อยจับแล้วจะรู้สึกนิ่ม ๆ เหี่ยว ๆ อย่างไรก็ตาม ความหย่อนคล้อยนั้นขึ้นอยู่กับอายุและน้ำหนักตัวของแต่ละคนด้วยครับ หากอายุไม่มาก แม้จะลดน้ำหนักตัวมาก ก็อาจฟื้นฟูผิวหนังได้เร็วกว่า ทั้งนี้เป็นเพราะผิวหนังจะมีคอลลาเจนและอิลาสตินน้อยลงเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้นนั่นเอง

 ลดความอ้วนแบบไม่ทำร้ายผิว

          คำกล่าวที่ว่า "You are what you eat." ถูกต้องเสมอครับ แม้ระหว่างการลดน้ำหนัก การควบคุมอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การลดความอ้วนด้วยวิธีอดอาหาร เลือกทานหรืองดรับประทานอาหารเพียงอย่างหนึ่งอย่างใด จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิดไป เนื่องจากการอดอาหารทำให้ระบบภายในร่างกายเสียสมดุล เพราะไปลดปริมาณน้ำตาลในเลือดลง ซึ่งอาจทำให้ผอมเร็วก็จริง แต่สุขภาพในระยะยาวอาจแย่ หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย และทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ด้วยนะ การลดความอ้วนที่ไม่ส่งผลเสียต่อผิวหนัง จะต้องลดน้ำหนักตัวลงไม่เกิน 0.5 ถึง 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และทำอย่างถูกวิธี


 อาหารไฟเบอร์สูง ดีต่อการลดน้ำหนักและดีต่อผิว

          การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง (Dietary Fiber) ช่วยให้ระบบการย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย เป็นไปได้ดี แน่นอนว่าหากขับถ่ายไม่ดีย่อมจะทำให้ผิวพรรณ ไม่สดใส การลดความอ้วนอาจก่อให้เกิดความเครียดทั้งแก่ร่างกายและจิตใจ ทำให้การขับถ่ายไม่เป็นปกติ หากกินอาหารไฟเบอร์สูงเป็นประจำก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินแพง ๆ ทำดีท็อกซ์สวนลำไส้เพื่อให้ถ่ายหรอก เพราะนอกจากเสียเงินแล้ว ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้หากการสวนล้างนั้นไม่สะอาด นอกจากนี้อาหารไฟเบอร์สูงยังช่วยลดคอลเสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเลือด และลดโอกาสเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจได้อีกด้วย

          อาหารเส้นใยสูงที่ราคาไม่แพง หารับประทานได้ง่าย อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อผิว ได้แก่ ผักและผลไม้ต่าง ๆ ธัญพืช และถั่ว เป็นต้น

 การแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย หลังลดความอ้วน

          เมื่อผิวเกิดการหย่อนคล้อยไปแล้วอันเกิดจากการลดความอ้วนคงจะแก้ได้ยาก แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้เสียทีเดียว ประเด็นสำคัญคือควรจะรีบแก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ การออกกำลังกายสามารถช่วยได้บ้าง โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่จะไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวกระชับขึ้นบ้าง แต่การออกกำลังกายเพื่อกระชับผิวที่คล้อยไปแล้ว อาจต้องใช้เวลานานเป็นปีกว่าผิวจะดีขึ้นได้ และควรทำใจว่าอาจจะไม่กลับมาดีเหมือนเดิม

          อีกวิธีหนึ่งคือการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนเยอะ ๆ เพื่อไปเสริมสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้กับผิวหนัง คอลลาเจนไม่ได้มีอยู่แค่ในสัตว์ เช่น ปลาทะเลน้ำลึกอย่างเดียว แต่ยังมีอยู่ในพืชผัก-ผลไม้ด้วย เช่น สาหร่ายทะเล เห็ด ถั่วเหลือง ส้มโอ แอปเปิ้ล นอกจากนี้ยังควรดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ  เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น และยังทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ดูนุ่มเนียนขึ้นด้วย

          หากผิวหนังที่หย่อนคล้อยหลังลดความอ้วนดูร้ายแรงเกินกว่าจะเยียวยา อาจต้องอาศัยการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์ คาร์บ็อกซี่และอาจต้องรับประทานอาหารเสริมพวกวิตามินต่าง ๆ เพิ่มเติม
สนับสนุนบทความดี ๆ ด้วย
ตู้อบอินฟราเรด KOMEDA ค่ะคลิกดูรายละเอียดที่นี่ค่ะ


วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

16 วิธีลดเซลลูไลท์ (Cellulite) & 14 สาเหตุการเกิดเซลลูไลท์ !!

เซลลูไลท์


เซลลูไลท์ หรือ เซลลูไลต์ (Cellulite) หรือที่บ้างเรียกว่า “ผิวเปลือกส้ม” คือ เซลล์ไขมันที่เคลื่อนตัวสูงขึ้นมาสะสมอยู่ชั้นใต้ผิวหนัง มีลักษณะขรุขระเป็นตะปุ่มตะป้ำคล้ายกับผิวเปลือกส้มหรือผิวมะกรูด มักพบได้บ่อยบริเวณต้นขา สะโพก ต้นแขน และหน้าท้อง บางคนขึ้นเป็นลอน ๆ เพราะมีไขมันสะสมเป็นก้อนผสมอยู่กับของเสียและน้ำปะปนอยู่ในถุงนั้น ซึ่งในแต่ละก้อนไขมันจะมีเปลือกเหนียว ๆ ห่อหุ้มอยู่ จึงทำให้มองจากภายนอกแล้วเห็นเป็นลอนของไขมัน โดยเซลลูไลท์จะแตกต่างจากไขมันธรรมดาในร่างกายที่เราสามารถกำจัดออกไปได้ง่าย ๆ ด้วยการออกกำลังกาย แต่เซลลูไลท์ไม่สามารถกำจัดออกได้ง่ายเช่นนั้น เพราะต้องอาศัยทั้งการนวดผิวหนังร่วมกับการบริการ การออกกำลังกาย และควบคุมอาหารร่วมด้วย จึงจะสามารถกำจัดเซลลูไลท์ออกไปอย่างได้ผล
ปัญหาเซลลูไลท์ ไม่ได้พบบ่อยเฉพาะกับคนอ้วนเพียงอย่างเดียว แต่ในผู้หญิงผอม ๆ บางคนก็ยังมีเซลลูไลท์ด้วยเช่นกัน ส่วนในผู้ชายนั้นจะมีไขมันน้อยกว่าผู้หญิง และส่วนใหญ่ก็เป็นกล้ามเนื้อ ปัญหาเซลลูไลท์จึงพบได้น้อยกว่าผู้หญิง ยกเว้นกับผู้ชายบางคนที่อ้วนมาก ๆ ก็มีเซลลูไลท์ได้เหมือนกัน ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 20 ปี กว่าร้อยละ 90 มักจะเริ่มมีอาการสะสมของเซลลูไลท์ ส่วนปัจจัยทางพันธุกรรมและเชื้อชาติก็เป็นส่วนหนึ่ง อย่างคนยุโรปจะมีเซลลูไลท์มากกว่าคนเอเชีย
แบบไหนที่เรียกว่ามีเซลลูไลท์ ?
ให้คุณลองเช็คด้วยวิธีง่าย ๆ ด้วยการเอามือตับส่วนหน้าท้องออกมาดูสักครึ่งนิ้ว หรือหงายท้องแขนแล้วใช้มืออีกข้างจับดึงชั้นไขมันท้องแขนออกมาให้ตึง หากพบว่าผิวของเรามีลักษณะคล้ายผิวส้มหรือผิวมะกรูด ก็นั่นแหละคือ “เซลลูไลท์” หากปล่อยทิ้งไว้ นานวันเข้ามันก็จะเริ่มมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นโดยไม่ต้องจับหรือบีบดู
วิธีลดเซลลูไลท์ต้นขา